มูลเหตุ :
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานได้ ๗ วัน พระมหากัสสปเถระอยู่ที่เมืองปาวา
ยังไม่ทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพาน จึงพาพระสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป
เดินทางออกจากเมืองปาวาด้วยประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่เมืองกุสินารา
ในระหว่างเดินทางนั้นเอง ก็ได้ทราบข่าวการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธองค์จากอาชีวก(นักบวชนิกายหนึ่ง) คนหนึ่ง
ซึ่งเดินทางมาจากเมืองกุสินารา
พระสงฆ์ทั้งมวลซึ่งมีพระมหากัสสปเถระเป็นหัวหน้า
เมื่อได้ทราบข่าวนั้นแล้ว ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ต่างก็มีความสลดใจ ผู้ที่เป็นปุถุชนอยู่ก็เศร้าโศกเสียใจ
ร้องไห้คร่ำครวญ รำพึงรำพันกันไปต่างๆนานา แต่พระภิกษุสุภัททะมิได้เป็นเช่นนั้น
และได้ห้ามพระภิกษุเหล่านั้นมิให้เสียใจ มิให้ร้องไห้
โดยกล่าวชี้นำว่า ที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จปรินิพพานนั้นเป็นการดีแล้ว
ต่อนี้ไปจะทำอะไรได้ตามใจ ไม่มีใครคอยมาชี้ว่าผิดนี่ ถูกนี่ ควรนี่ ไม่ควรนี่ ต่อไปอีก
พระมหากัสสปเถระได้ฟังคำกล่าวจ้วงจาบเช่นนั้นแล้ว เกิดความสลดใจ
ภายหลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จสิ้นแล้ว
ได้มีการประชุมสงฆ์ พระมหากัสสปเถระซึ่งเป็นผู้มีอายุพรรษามากกว่าพระสงฆ์ทุกรูป
ได้รับเลือกให้เป็นประธานสงฆ์ มีฐานะเป็นสังฆปริณายก (ผู้นำคณะสงฆ์)
บริหารการคณะสงฆ์ตามพระธรรมวินัย
ท่านจึงได้นำเรื่องที่ภิกษุสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยนั้นเสนอต่อที่ประชุมสงฆ์
ชวนให้ทำการสังคายนาพระธรรมวินัย และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม
ต่อจากนั้นมา ๓ เดือน ก็ได้มีการประชุมทำสังคายนาครั้งที่ ๑
สถานที่ :
ถ้ำสัตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ ชมพูทวีป
องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าอชาตศัตรู
การจัดการ :
พระมหากัสสปเถระได้รับเลือกเป็นประธาน และเป็นผู้ซักถามพระธรรมวินัย
พระอุบาลีเถระเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระวินัย พระอานนท์เถระเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระธรรม
มีพระอรหันต์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์
(สงฆ์ผู้เป็นคณะกรรมการทำสังคายนา) จำนวน ๕๐๐ รูป
ระยะเวลา : ๗ เดือน จึงสำเร็จ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------